ประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่น |
1. ประเพณีการทำขวัญข้าว
การทำขวัญข้าวเป็นประเพณีสำคัญที่ชาวนาในสมัยก่อนยึดถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดในอำเภอไชยาซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญ ชาวนาได้สืบต่อประเพณีมาโดยตลอด ทั้งนี้เพราะมีความเชื่อว่าข้าวมีเทพเจ้า คือ แม่โพสพ หากกระทำให้แม่โพสพมีความพึงพอใจก็จะช่วยบันดาลให้ทำนาให้ผลผลิตข้าวมากการทำขวัญข้าวทำได้ 2 แบบ คือ ทำในนา และทำในยุ้งข้าว แบบแรกเมื่อข้าวเริ่มสุก ชาวบ้านเรียกว่า “ผูกข้าว” เครื่องประกอบพิธีจะต้องเป็นเครื่องยา 30 สิ่ง แต่ปัจจุบันหามาเพียง 3 สิ่ง คือ ชุมเห็ด พรมคด และไม้กำ เครื่องประกอบพิธีอื่นๆ มีการรวบข้าว 9 กอเข้าด้วยกัน แล้วหมอทำขวัญข้าวกล่าวคำทำขวัญจนจบ ใช้ด้วยมงคลและย่านลิเพาผูกกอข้าวไว้ ตั้งบายศรีซึ่งทำเป็นชั้นๆ ด้วยใบตองซึ่งใส่ขนม และอาหารต่างๆ หลังจากกล่าวคำทำขวัญจบ จึงยกเครื่องบายศรีลง เป็นอันจบพิธี แบบที่สองทำในยุ้งข้าว หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวมาเรียงตั้งเป็นลอมไว้เรียบร้อยแล้ว ก็จะขึ้นไปทำขวัญข้าวบนลอม โดยใช้เครื่องพิธีเหมือนกับทำในนา แต่มีการเพิ่มผลไม้เข้าไปด้วยการทำบนลอมจะเลือกข้าวเมล็ดดี 3 เลียงมาวางอิงกันผูกด้วยด้ายมงคล ตั้งบายศรีบนข้าว 3 เลียงนั้น มีกระสอบหิน 1 ก้อน เหล็ก 1 อัน ตั้งวางลงบนลอมข้าวด้วย หมอทำขวัญ จะเริ่มด้วยตั้งนะโม 3 ครั้ง ต่อด้วยบทชุมนุมเทวดา บทเชิญขวัญ เมื่อบทเชิญขวัญจบลง หมอทำขวัญจะนำข้าวหัวขวัญใส่กระสอบ ขณะใส่บริกรรมคาถาไปด้วย ต่อจากนั้นนำรวงข้าว 3 รวง จาก 3 เลียง มาตั้งบนหิน แล้วใช้เหล็กกด พร้อมกับบริกรรมคาถา “ปังหรัง” เพื่อมิให้แม่โพสพหลีกเร้นออกไปได้ ต่อจากนั้นนำอาหารและถ้วยน้ำตั้งในกระสอบ เป็นอันเสร็จพิธี
ข้าว 3 เลียงที่นำมาตั้งนั้นถือว่าเป็นข้าวมงคล เจ้าของจะเก็บไว้ทำพันธุ์ในปีต่อไป ในปัจจุบันประเพณีการทำขวัญข้าวเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เนื่องจากความเชื่อ ความศรัทธาในไสย ศาสตร์ลดน้อยลง จะมีอยู่บ้างก็เฉพาะในบางท้องถิ่นชนบทที่ห่างไกลออกไปเท่านั้น
การทำขวัญข้าวเป็นประเพณีสำคัญที่ชาวนาในสมัยก่อนยึดถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดในอำเภอไชยาซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญ ชาวนาได้สืบต่อประเพณีมาโดยตลอด ทั้งนี้เพราะมีความเชื่อว่าข้าวมีเทพเจ้า คือ แม่โพสพ หากกระทำให้แม่โพสพมีความพึงพอใจก็จะช่วยบันดาลให้ทำนาให้ผลผลิตข้าวมากการทำขวัญข้าวทำได้ 2 แบบ คือ ทำในนา และทำในยุ้งข้าว แบบแรกเมื่อข้าวเริ่มสุก ชาวบ้านเรียกว่า “ผูกข้าว” เครื่องประกอบพิธีจะต้องเป็นเครื่องยา 30 สิ่ง แต่ปัจจุบันหามาเพียง 3 สิ่ง คือ ชุมเห็ด พรมคด และไม้กำ เครื่องประกอบพิธีอื่นๆ มีการรวบข้าว 9 กอเข้าด้วยกัน แล้วหมอทำขวัญข้าวกล่าวคำทำขวัญจนจบ ใช้ด้วยมงคลและย่านลิเพาผูกกอข้าวไว้ ตั้งบายศรีซึ่งทำเป็นชั้นๆ ด้วยใบตองซึ่งใส่ขนม และอาหารต่างๆ หลังจากกล่าวคำทำขวัญจบ จึงยกเครื่องบายศรีลง เป็นอันจบพิธี แบบที่สองทำในยุ้งข้าว หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวมาเรียงตั้งเป็นลอมไว้เรียบร้อยแล้ว ก็จะขึ้นไปทำขวัญข้าวบนลอม โดยใช้เครื่องพิธีเหมือนกับทำในนา แต่มีการเพิ่มผลไม้เข้าไปด้วยการทำบนลอมจะเลือกข้าวเมล็ดดี 3 เลียงมาวางอิงกันผูกด้วยด้ายมงคล ตั้งบายศรีบนข้าว 3 เลียงนั้น มีกระสอบหิน 1 ก้อน เหล็ก 1 อัน ตั้งวางลงบนลอมข้าวด้วย หมอทำขวัญ จะเริ่มด้วยตั้งนะโม 3 ครั้ง ต่อด้วยบทชุมนุมเทวดา บทเชิญขวัญ เมื่อบทเชิญขวัญจบลง หมอทำขวัญจะนำข้าวหัวขวัญใส่กระสอบ ขณะใส่บริกรรมคาถาไปด้วย ต่อจากนั้นนำรวงข้าว 3 รวง จาก 3 เลียง มาตั้งบนหิน แล้วใช้เหล็กกด พร้อมกับบริกรรมคาถา “ปังหรัง” เพื่อมิให้แม่โพสพหลีกเร้นออกไปได้ ต่อจากนั้นนำอาหารและถ้วยน้ำตั้งในกระสอบ เป็นอันเสร็จพิธี
ข้าว 3 เลียงที่นำมาตั้งนั้นถือว่าเป็นข้าวมงคล เจ้าของจะเก็บไว้ทำพันธุ์ในปีต่อไป ในปัจจุบันประเพณีการทำขวัญข้าวเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เนื่องจากความเชื่อ ความศรัทธาในไสย ศาสตร์ลดน้อยลง จะมีอยู่บ้างก็เฉพาะในบางท้องถิ่นชนบทที่ห่างไกลออกไปเท่านั้น
2. ประเพณีวันสงกรานต์รดน้ำดำหัว
ประเพณีสงกรานต์ของอำเภอไชยา แตกต่างจากที่ปฏิบัติกันอยู่ในถิ่นอื่นบ้าง โดยถือว่าช่วงสงกรานต์ คือวันที่ 13-15เมษายน วันที่ 13 เป็นวันมหาสงกรานต์ วันที่ 14 เป็นวันว่าง และวันที่ 15 เป็นวันเถลิงศก ชาวไชยาถือว่าทั้งสามวันนี้คือวันที่เทวดาไม่อยู่รักษา ใครจะทำงานอาชีพไม่ได้ จะเกิดอุบัติเหตุหรือเป็นไปต่างๆ นานา สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ จะถูกเก็บไว้มิให้นำมาใช้เป็นการชั่วคราว ประชาชนส่วนใหญ่จะจัดเตรียมอาหารคาวหวานไปทำบุญที่วัดใกล้บ้านในตอนเช้าของวันสงกรานต์ หลังจากทำบุญที่วัดเสร็จแล้วชาวบ้านจะนำอาหาร เครื่องบูชาและเครื่องใช้บางอย่างไปมอบให้ผู้อาวุโส โดยถือโอกาสรดน้ำเพื่อแสดงออกซึ่งความเคารพนับถือ ความกตัญญูกตเวทีบางแห่งจะทำพิธีรดน้ำผู้อาวุโสอย่างใหญ่โต โดยแต่ละหมู่บ้านจะเชิญผู้อาวุโสทุกคนมาร่วมพิธี เมื่อรดน้ำผู้อาวุโสเสร็จแล้วชาวบ้านจะพากันมาชุมนุมเพื่อความสนุกสนานรื่นเริงมีการเล่นต่างๆ เช่น สะบ้า ชักเย่อแข่งขันการชักลากไม้จากป่าเข้าวัด เป็นต้น ในเวลากลางคืนมีมหรสพต่างๆ มาแสดง เช่น หนังตะลุง มโนห์รา และเพลงบอกสำหรับเพลงบอก แม่เพลงและลูกคู่จะเดินกันเป็นกลุ่มไปตามบ้านต่างๆ แล้วขับเพลงบอก เพื่อการบอกถึงการเปลี่ยนศักราชใหม่ ชาวบ้านจะออกมาต้อนรับโดยมอบขนม สิ่งของ และบางทีก็เป็นสุราให้แก่ผู้ขับเพลงบอก ส่วนหนังตะลุงมโนห์ราจะแสดงตลอดคืน และในตอนรุ่งเช้ามักจะจัดให้มีการชน วัว ควายด้วย ปัจจุบันประเพณีสงกรานต์ของอำเภอไชยาเสื่อมความนิยมลงไปเป็นอันมาก ความเชื่อและการปฏิบัติบางอย่างลดน้อยลงไป แต่อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ยังปฏิบัติกันมิได้ขาดคือเมื่อถึงวันนี้จะมีการรดน้ำและมอบสิ่งของให้แก่คนเฒ่าคนแก่
ประเพณีสงกรานต์ของอำเภอไชยา แตกต่างจากที่ปฏิบัติกันอยู่ในถิ่นอื่นบ้าง โดยถือว่าช่วงสงกรานต์ คือวันที่ 13-15เมษายน วันที่ 13 เป็นวันมหาสงกรานต์ วันที่ 14 เป็นวันว่าง และวันที่ 15 เป็นวันเถลิงศก ชาวไชยาถือว่าทั้งสามวันนี้คือวันที่เทวดาไม่อยู่รักษา ใครจะทำงานอาชีพไม่ได้ จะเกิดอุบัติเหตุหรือเป็นไปต่างๆ นานา สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ จะถูกเก็บไว้มิให้นำมาใช้เป็นการชั่วคราว ประชาชนส่วนใหญ่จะจัดเตรียมอาหารคาวหวานไปทำบุญที่วัดใกล้บ้านในตอนเช้าของวันสงกรานต์ หลังจากทำบุญที่วัดเสร็จแล้วชาวบ้านจะนำอาหาร เครื่องบูชาและเครื่องใช้บางอย่างไปมอบให้ผู้อาวุโส โดยถือโอกาสรดน้ำเพื่อแสดงออกซึ่งความเคารพนับถือ ความกตัญญูกตเวทีบางแห่งจะทำพิธีรดน้ำผู้อาวุโสอย่างใหญ่โต โดยแต่ละหมู่บ้านจะเชิญผู้อาวุโสทุกคนมาร่วมพิธี เมื่อรดน้ำผู้อาวุโสเสร็จแล้วชาวบ้านจะพากันมาชุมนุมเพื่อความสนุกสนานรื่นเริงมีการเล่นต่างๆ เช่น สะบ้า ชักเย่อแข่งขันการชักลากไม้จากป่าเข้าวัด เป็นต้น ในเวลากลางคืนมีมหรสพต่างๆ มาแสดง เช่น หนังตะลุง มโนห์รา และเพลงบอกสำหรับเพลงบอก แม่เพลงและลูกคู่จะเดินกันเป็นกลุ่มไปตามบ้านต่างๆ แล้วขับเพลงบอก เพื่อการบอกถึงการเปลี่ยนศักราชใหม่ ชาวบ้านจะออกมาต้อนรับโดยมอบขนม สิ่งของ และบางทีก็เป็นสุราให้แก่ผู้ขับเพลงบอก ส่วนหนังตะลุงมโนห์ราจะแสดงตลอดคืน และในตอนรุ่งเช้ามักจะจัดให้มีการชน วัว ควายด้วย ปัจจุบันประเพณีสงกรานต์ของอำเภอไชยาเสื่อมความนิยมลงไปเป็นอันมาก ความเชื่อและการปฏิบัติบางอย่างลดน้อยลงไป แต่อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ยังปฏิบัติกันมิได้ขาดคือเมื่อถึงวันนี้จะมีการรดน้ำและมอบสิ่งของให้แก่คนเฒ่าคนแก่
3. ประเพณีสวดกลางบ้านประจำปี
ประเพณีสวดกลางบ้านเป็นประเพณีที่ท้องถิ่น มีการปฏิบัติกันมาตั้งแต่โบราณ โดยสมัยก่อนยังมีความเจริญทางด้านการแพทย์น้อย เมื่อมีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นในหมู่บ้าน เช่น ฝีดาษ อีสุก อีใส ฯลฯ ระบาดในหมู่บ้าน ผู้นำหมู่บ้านจะนิมนต์พระสงฆ์มาสวดกลางบ้านเพื่อปัดเป่าโรคภัยตามความเชื่อ แม้ในปัจจุบันความเชื่อเหล่านี้จะหมดไป แต่ชาวบ้านยังคงจัดให้มีประเพณีสวดกลางบ้านอยู่ โดยเปลี่ยนวัตถุประสงค์จากเดิมที่ทำเพื่อปัดเป่าโรคภัย มาเป็นการสร้างความเป็นสิริมงคลให้เกิดขึ้นในหมู่บ้านแทน
ประเพณีสวดกลางบ้านเป็นประเพณีที่ท้องถิ่น มีการปฏิบัติกันมาตั้งแต่โบราณ โดยสมัยก่อนยังมีความเจริญทางด้านการแพทย์น้อย เมื่อมีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นในหมู่บ้าน เช่น ฝีดาษ อีสุก อีใส ฯลฯ ระบาดในหมู่บ้าน ผู้นำหมู่บ้านจะนิมนต์พระสงฆ์มาสวดกลางบ้านเพื่อปัดเป่าโรคภัยตามความเชื่อ แม้ในปัจจุบันความเชื่อเหล่านี้จะหมดไป แต่ชาวบ้านยังคงจัดให้มีประเพณีสวดกลางบ้านอยู่ โดยเปลี่ยนวัตถุประสงค์จากเดิมที่ทำเพื่อปัดเป่าโรคภัย มาเป็นการสร้างความเป็นสิริมงคลให้เกิดขึ้นในหมู่บ้านแทน
4. ประเพณีทำบุญเดือนสิบ
ประเพณีนี้ เป็นประเพณีเก่าแก่ของภาคใต้ ทำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วเฉพาะที่อำเภอไชยาได้ถืออย่างเคร่งครัดมาโดยตลอดเพราะถือว่า เป็นประเพณีที่แสดงออกถึงความกตัญญูอย่างสูงยิ่งต่อบรรพบุรุษ ปัจจุบันบางคนเรียกวันนีว่า “วันกตัญญู”วันรับตายาย ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 วันนี้เชื่อว่า เป็นวันที่พญายมปล่อยเปรตขึ้นมาจากนรก ชาวบ้านจะจัดสำรับคาวหวาน ดอกไม้ธูปเทียนไปกราบพระที่วัด ส่วนวันส่งตายายตรงกับวันแรม 15 ค่ำเดือน 10 ถือเป็นวันที่เปรตจะต้องกลับไปสู่นรกตามเดิม จึงต้องจัดเตรียมเครื่องคาวหวานไปทำบุญอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ตายายหรือเปรตนำกลับไปใช้นั่นเองวันส่งตายายจะมีการทำ “หนมตายาย” ได้แก่ ขนมลา ขนมกรุบ ยาหนม กระยาสารท ขนมพอง ขนมบ้า ขนมไข่ปลาและผลไม้ เป็นต้น ขนมดังกล่าวชาวบ้านจะจัดใสกระเชอนำไปถวายพระที่วัด หลังจากที่ถวายพระแล้วชาวบ้านจะนำอาหารและขนมส่วนหนึ่งไปวางตามสถานที่ต่างๆ ภายในวัด เช่นประตูวัด โคนต้นไม้ ริมกำแพง เพื่อให้เปรต หรือตายายไม่มีญาติมารับอาหารเหล่านี้ เรียกว่า “ตั้งเปรต” หรืออาจจะนำไปวางที่ “หลาเปรต” ซึ่งสร้างยกพื้นขึ้นมาหลังจากกระทำพิธีสงฆ์เสร็จแล้ว ชาวบ้านจะเข้าไปแย่งของจาก “เปรต” กันอย่างสนุกสนาน เรียกกันว่า “ชิงเปรต”
ในท้องที่อำเภอไชยาอาหารอย่างหนึ่งที่ทุกครัวเรือนต้องทำไปถวายพระ และวางให้เปรตด้วยคือ “น้ำพริกผักจุ้ม” ด้วยปู่ ย่า ตา ยายสั่งสอนต่อๆ กันมาว่าต้องทำบุญให้แก่ตายายโดยมีสิ่งนี้ด้วยเพราะเป็นสิ่งที่ตายายชอบหลังจากทำบุญในตอนเช้าเสร็จแล้วก็จะมีการบังสุกุลบรรพบุรุษ แต่บางแห่งทันในตอนเย็น หลังจากนั้นก็เป็นเสร็จพิธีประเพณีรับส่งตายายนอกจากทำเพื่อจุดประสงฆ์ดังกล่าวแล้ว ยังเป็นการรวมญาติอีกด้วยคือทำให้ญาติพี่น้องได้พบปะสมาคมกัน เพราะทุกคนไม่ว่าจะไปอยู่ ณ ที่ใด ต้องเดินทางกลับไปยังบ้านของบิดามารดาเพื่อร่วมพิธีดังกล่าว
ประเพณีนี้ เป็นประเพณีเก่าแก่ของภาคใต้ ทำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วเฉพาะที่อำเภอไชยาได้ถืออย่างเคร่งครัดมาโดยตลอดเพราะถือว่า เป็นประเพณีที่แสดงออกถึงความกตัญญูอย่างสูงยิ่งต่อบรรพบุรุษ ปัจจุบันบางคนเรียกวันนีว่า “วันกตัญญู”วันรับตายาย ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 วันนี้เชื่อว่า เป็นวันที่พญายมปล่อยเปรตขึ้นมาจากนรก ชาวบ้านจะจัดสำรับคาวหวาน ดอกไม้ธูปเทียนไปกราบพระที่วัด ส่วนวันส่งตายายตรงกับวันแรม 15 ค่ำเดือน 10 ถือเป็นวันที่เปรตจะต้องกลับไปสู่นรกตามเดิม จึงต้องจัดเตรียมเครื่องคาวหวานไปทำบุญอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ตายายหรือเปรตนำกลับไปใช้นั่นเองวันส่งตายายจะมีการทำ “หนมตายาย” ได้แก่ ขนมลา ขนมกรุบ ยาหนม กระยาสารท ขนมพอง ขนมบ้า ขนมไข่ปลาและผลไม้ เป็นต้น ขนมดังกล่าวชาวบ้านจะจัดใสกระเชอนำไปถวายพระที่วัด หลังจากที่ถวายพระแล้วชาวบ้านจะนำอาหารและขนมส่วนหนึ่งไปวางตามสถานที่ต่างๆ ภายในวัด เช่นประตูวัด โคนต้นไม้ ริมกำแพง เพื่อให้เปรต หรือตายายไม่มีญาติมารับอาหารเหล่านี้ เรียกว่า “ตั้งเปรต” หรืออาจจะนำไปวางที่ “หลาเปรต” ซึ่งสร้างยกพื้นขึ้นมาหลังจากกระทำพิธีสงฆ์เสร็จแล้ว ชาวบ้านจะเข้าไปแย่งของจาก “เปรต” กันอย่างสนุกสนาน เรียกกันว่า “ชิงเปรต”
ในท้องที่อำเภอไชยาอาหารอย่างหนึ่งที่ทุกครัวเรือนต้องทำไปถวายพระ และวางให้เปรตด้วยคือ “น้ำพริกผักจุ้ม” ด้วยปู่ ย่า ตา ยายสั่งสอนต่อๆ กันมาว่าต้องทำบุญให้แก่ตายายโดยมีสิ่งนี้ด้วยเพราะเป็นสิ่งที่ตายายชอบหลังจากทำบุญในตอนเช้าเสร็จแล้วก็จะมีการบังสุกุลบรรพบุรุษ แต่บางแห่งทันในตอนเย็น หลังจากนั้นก็เป็นเสร็จพิธีประเพณีรับส่งตายายนอกจากทำเพื่อจุดประสงฆ์ดังกล่าวแล้ว ยังเป็นการรวมญาติอีกด้วยคือทำให้ญาติพี่น้องได้พบปะสมาคมกัน เพราะทุกคนไม่ว่าจะไปอยู่ ณ ที่ใด ต้องเดินทางกลับไปยังบ้านของบิดามารดาเพื่อร่วมพิธีดังกล่าว
5. ประเพณีลากพระ
ลากพระ เป็นศัพท์ของชาวปักษ์ใต้ ลากพระคือการแห่พระนั่นเอง ตามความหมายของศัพท์ หมายถึงพิธีบุญที่มีการแห่พระพุทธรูปออกจากวัดไปบำเพ็ญกุศลแล้วแห่กลับวัด วันที่มีการลากพระ คือ แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี เป็นวันที่พระสงฆ์ออกพรรษาหรือที่เรียกว่าวันปวารณา ทั้งนี้โดยนิยมเอาตามเรื่องราวที่ปรากฏในเทโวโรหสูตรว่า ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 นั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จลงจากชั้นดาวดึงส์สู่โลกมนุษย์ ภายหลังที่พระองค์ทรงจำพรรษาอยู่บนชั้นดาวดึงส์หนึ่งพรรษา เพื่อเทศนาโปรดสมเด็จพุทธมารดา เมื่อถึงวันออกพรรษา เราจึงได้เห็นพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศไปวัดเพื่อบำเพ็ญกุศล ในภาคอื่นๆ ส่วนใหญ่มีการตักบาตร แต่สำหรับปักษ์ใต้นอกจากมีการทำบุญตักบาตรแล้ว ยังมีการลากพระ (แห่พระ) อีกด้วย
ส่วนชาวบ้านทั่วไปก่อนวันลากพระหนึ่งวันจะเตรียมอาหารสำหรับถวายพระ สำหรับขนมที่ขาดไม่ได้ ข้าวต้มใบพ้อซึ่งทำเป็นรูปสามเหลี่ยมรี ทุกๆ บ้านจะต้องทำขนมชนิดนี้เหมือนกันหมด ส่วนขนมอื่นๆ มีบ้างแต่น้อยมาก นอกจากจะต้องจัดเตรียมอาหารแล้วต้องจัดหาเสื้อผ้าไว้แต่งประกวดประชันกันในวันลากพระด้วย ในตอนเช้าตรู่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ชาวบ้านจะรีบไปวัดเพื่อตักบาตรหน้าพระลากซึ่งอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนบุษบก สำหรับเรือพระทางน้ำทางวัดมักกำหนดให้เรือพระทั้งหมดไปประชุมกัน ณ ที่ใดที่หนึ่ง เพื่อให้ชาวบ้านไปตักบาตร บางแห่งอาจจะทำเป็นศาลาไว้ริมน้ำสำหรับวางบาตรเรียกว่า “หลาบาตร” หลังจากนั้นพระก็จะฉันภัตตาหารเช้า การลากพระออกจากวัดไปยังที่ชุมนุมเรือพระ จะเริ่มเมื่อพระฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว แต่เดิมการลากพระเป็นการลากอย่างแท้จริงโดยเฉพาะเรือบกไม่มีรถยนต์ ทำเป็นลำเรือพระอย่างเดี๋ยวนี้ เมื่อเรือพระผ่านหมู่บ้านใด ประชาชนจะนำอาหารมาถวายกลาที่ชุมนุมเรือพระ ตอนใกล้เที่ยงประชาชนจะถวายภัตตาหาร เพลแก่พระสงฆ์ หลังจากนั้นชาวเมืองจะสนุกสนานกับการละเล่นต่างๆบรรดาเรือพระต่างๆ อาจจะลากกลับในวันนั้น หรืออาจจะต้องอยู่ร่วมเพื่อสมโภช 1 คืน แล้วลากกลับ
ประเพณีลากพระเป็นประเพณีอันสำคัญยิ่งของชาวอำเภอไชยาที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณกาล การปฏิบัติประเพณีนี้แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่ศรัทธาในพุทธศาสนาของชาวไชยาอย่างแท้จริง การดำรงประเพณีนี้ทำกันมาโดยตลอด อาจกล่าวได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในการดำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาในอำเภอไชยานอกจากนี้ประเพณีลากพระได้แสดงให้เห็นถึงความสามัคคีและกำลังกาย ทำให้มีเรือพระและมาร่วมงานลากพระ
ลากพระ เป็นศัพท์ของชาวปักษ์ใต้ ลากพระคือการแห่พระนั่นเอง ตามความหมายของศัพท์ หมายถึงพิธีบุญที่มีการแห่พระพุทธรูปออกจากวัดไปบำเพ็ญกุศลแล้วแห่กลับวัด วันที่มีการลากพระ คือ แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี เป็นวันที่พระสงฆ์ออกพรรษาหรือที่เรียกว่าวันปวารณา ทั้งนี้โดยนิยมเอาตามเรื่องราวที่ปรากฏในเทโวโรหสูตรว่า ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 นั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จลงจากชั้นดาวดึงส์สู่โลกมนุษย์ ภายหลังที่พระองค์ทรงจำพรรษาอยู่บนชั้นดาวดึงส์หนึ่งพรรษา เพื่อเทศนาโปรดสมเด็จพุทธมารดา เมื่อถึงวันออกพรรษา เราจึงได้เห็นพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศไปวัดเพื่อบำเพ็ญกุศล ในภาคอื่นๆ ส่วนใหญ่มีการตักบาตร แต่สำหรับปักษ์ใต้นอกจากมีการทำบุญตักบาตรแล้ว ยังมีการลากพระ (แห่พระ) อีกด้วย
ส่วนชาวบ้านทั่วไปก่อนวันลากพระหนึ่งวันจะเตรียมอาหารสำหรับถวายพระ สำหรับขนมที่ขาดไม่ได้ ข้าวต้มใบพ้อซึ่งทำเป็นรูปสามเหลี่ยมรี ทุกๆ บ้านจะต้องทำขนมชนิดนี้เหมือนกันหมด ส่วนขนมอื่นๆ มีบ้างแต่น้อยมาก นอกจากจะต้องจัดเตรียมอาหารแล้วต้องจัดหาเสื้อผ้าไว้แต่งประกวดประชันกันในวันลากพระด้วย ในตอนเช้าตรู่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ชาวบ้านจะรีบไปวัดเพื่อตักบาตรหน้าพระลากซึ่งอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนบุษบก สำหรับเรือพระทางน้ำทางวัดมักกำหนดให้เรือพระทั้งหมดไปประชุมกัน ณ ที่ใดที่หนึ่ง เพื่อให้ชาวบ้านไปตักบาตร บางแห่งอาจจะทำเป็นศาลาไว้ริมน้ำสำหรับวางบาตรเรียกว่า “หลาบาตร” หลังจากนั้นพระก็จะฉันภัตตาหารเช้า การลากพระออกจากวัดไปยังที่ชุมนุมเรือพระ จะเริ่มเมื่อพระฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว แต่เดิมการลากพระเป็นการลากอย่างแท้จริงโดยเฉพาะเรือบกไม่มีรถยนต์ ทำเป็นลำเรือพระอย่างเดี๋ยวนี้ เมื่อเรือพระผ่านหมู่บ้านใด ประชาชนจะนำอาหารมาถวายกลาที่ชุมนุมเรือพระ ตอนใกล้เที่ยงประชาชนจะถวายภัตตาหาร เพลแก่พระสงฆ์ หลังจากนั้นชาวเมืองจะสนุกสนานกับการละเล่นต่างๆบรรดาเรือพระต่างๆ อาจจะลากกลับในวันนั้น หรืออาจจะต้องอยู่ร่วมเพื่อสมโภช 1 คืน แล้วลากกลับ
ประเพณีลากพระเป็นประเพณีอันสำคัญยิ่งของชาวอำเภอไชยาที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณกาล การปฏิบัติประเพณีนี้แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่ศรัทธาในพุทธศาสนาของชาวไชยาอย่างแท้จริง การดำรงประเพณีนี้ทำกันมาโดยตลอด อาจกล่าวได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในการดำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาในอำเภอไชยานอกจากนี้ประเพณีลากพระได้แสดงให้เห็นถึงความสามัคคีและกำลังกาย ทำให้มีเรือพระและมาร่วมงานลากพระ
6. ประเพณีซอแรง
ประเพณีซอแรงเป็นประเพณีที่ทำกันมาแต่โบราณ บางแห่งเรียกว่า “ออกปาก” ในปัจจุบันประเพณีนี้ยังทำกันอยู่อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในอำเภอ ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตร การซอแรงก็คือการที่ฝ่ายหนึ่งมีงานทำในไร่นา สวน หรือที่บ้าน แล้วมีบุคคลที่รู้จักกันมาช่วยเหลือกันทำงาน โดยผลัดเปลี่ยนกันไปเช่นนี้เรื่อยๆการซอแรงคล้ายคลึงกับการลงแขก แต่การลงแขกมีการกระทำโดยการไปบอกกล่าวเพื่อนบ้านให้มาช่วยกันทำงาน โดยที่เจ้าของงานจะเป็นผู้จัดการเลี้ยงอาหารคาว อาหารหวานเองและมักจะจัดการให้มีการทำงานเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ส่วนการซอแรงเป็นการไปช่วยงานกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ผลัดเปลี่ยนกันตามแต่จะมีเวลาว่าง และผู้ไปช่วยทำงานจะต้องจัดเตรียมอาหารหรือข้าวห่อไปกินเองด้วยการซอแรงที่เห็นได้ชัดคือ การทำนา หรือการทำงานในสวน งานที่ทำในนา ซึ่งต้องขอแรง ได้แก่ งานถอนกล้า งานไถนา งานปักดำ งานเก็บเกี่ยวข้าว เป็นต้น ถ้าเป็นงานในสวนก็ได้แก่ งานถางสวน การถางไร่ป่า การดายหญ้าในที่ทำข้าวไร่เป็นต้นการซอแรงเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยมีการผลัดเปลี่ยนกันอย่างไม่มีพิธีรีตองมากนัก ใครมีเวลาว่างก็ไปช่วยเหลืออีกฝ่ายหนึ่ง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็คอยหาโอกาสเพื่อที่จะช่วยเหลือตอบแทน แต่จะตอบกันเมื่อใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับงานและโอกาส
ประเพณีซอแรงเป็นประเพณีที่ทำกันมาแต่โบราณ บางแห่งเรียกว่า “ออกปาก” ในปัจจุบันประเพณีนี้ยังทำกันอยู่อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในอำเภอ ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตร การซอแรงก็คือการที่ฝ่ายหนึ่งมีงานทำในไร่นา สวน หรือที่บ้าน แล้วมีบุคคลที่รู้จักกันมาช่วยเหลือกันทำงาน โดยผลัดเปลี่ยนกันไปเช่นนี้เรื่อยๆการซอแรงคล้ายคลึงกับการลงแขก แต่การลงแขกมีการกระทำโดยการไปบอกกล่าวเพื่อนบ้านให้มาช่วยกันทำงาน โดยที่เจ้าของงานจะเป็นผู้จัดการเลี้ยงอาหารคาว อาหารหวานเองและมักจะจัดการให้มีการทำงานเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ส่วนการซอแรงเป็นการไปช่วยงานกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ผลัดเปลี่ยนกันตามแต่จะมีเวลาว่าง และผู้ไปช่วยทำงานจะต้องจัดเตรียมอาหารหรือข้าวห่อไปกินเองด้วยการซอแรงที่เห็นได้ชัดคือ การทำนา หรือการทำงานในสวน งานที่ทำในนา ซึ่งต้องขอแรง ได้แก่ งานถอนกล้า งานไถนา งานปักดำ งานเก็บเกี่ยวข้าว เป็นต้น ถ้าเป็นงานในสวนก็ได้แก่ งานถางสวน การถางไร่ป่า การดายหญ้าในที่ทำข้าวไร่เป็นต้นการซอแรงเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยมีการผลัดเปลี่ยนกันอย่างไม่มีพิธีรีตองมากนัก ใครมีเวลาว่างก็ไปช่วยเหลืออีกฝ่ายหนึ่ง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็คอยหาโอกาสเพื่อที่จะช่วยเหลือตอบแทน แต่จะตอบกันเมื่อใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับงานและโอกาส